กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์
ควรเริ่มจากการกำหนดเป้าหมายของธุรกิจ เช่น ต้องการขายสินค้าอะไร ขายให้กับกลุ่มเป้าหมายใด และจะมีฟีเจอร์หรือบริการพิเศษอะไรบ้าง
เลือกแพลตฟอร์ม E-commerce
สำรวจแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น WooCommerce, Shopify, Magento, หรือจะเลือกสร้างเว็บไซต์เฉพาะจากโปรแกรมเมอร์ขึ้นมาโดยตรง ทั้งนี้ควรเลือกแพลตฟอร์มที่สอดคล้องกับขนาดธุรกิจและงบประมาณ
กำหนดงบประมาณ
ควรมีการวางแผนงบประมาณในการจ้างงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายในส่วนของการพัฒนาและบำรุงรักษาเว็บไซต์ เช่น ค่าธีม ค่าปลั๊กอิน ค่าโฮสติ้ง เป็นต้น
วางแผนการออกแบบเว็บไซต์
กำหนดโทนสี โลโก้ และลักษณะการออกแบบเว็บไซต์ให้น่าสนใจและสอดคล้องกับแบรนด์ คำนึงถึงประสบการณ์การใช้งาน (UX/UI) ของผู้ใช้ และเลือกชื่อ Domain ให้เหมาะสมกับธุรกิจ
วางแผนการจัดการระบบหลังบ้าน
ระบบหลังบ้านของเว็บไซต์ต้องใช้งานง่าย สามารถจัดการสินค้า ตรวจสอบคำสั่งซื้อ จัดการกับการชำระเงิน และการจัดส่งได้อย่างสะดวก
กำหนดฟีเจอร์ที่จำเป็น
ควรวางแผนว่าต้องการฟีเจอร์อะไรบ้าง เช่น ระบบชำระเงินออนไลน์ การเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดีย ระบบแจ้งเตือน การจัดการคูปองส่วนลด เป็นต้น
เตรียมเนื้อหาและภาพสินค้า
เตรียมเนื้อหาเช่น รายละเอียดสินค้า รูปภาพที่สวยงาม และรีวิวลูกค้า เพื่อให้การนำเสนอสินค้าดูน่าสนใจ
เตรียมพร้อมเรื่อง SEO และการตลาดออนไลน์
ควรจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO หรือทำการศึกษาวิธีการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับการค้นหาใน Google ได้ง่าย เพื่อเพิ่มการเข้าถึงจากกลุ่มเป้าหมาย
เลือกผู้ให้บริการที่เหมาะสม
เลือกบริษัทหรือฟรีแลนซ์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาเว็บไซต์ E-commerce ตรวจสอบผลงานและรีวิวจากลูกค้าก่อนทำการจ้างงาน